วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระดาษทำการ (Working Paper)

บทที่ 7 กระดาษทำการ (Working Paper)



กระดาษทำการ คือ ข้อมูลหรือเอกสารที่ใช้บันทึก หลักฐานการสอบบัญชีซึ่งจะต้องเพียงพอและเหมาะสม
วัตถุประสงค์: 1.บันทึกหลักฐานกรสอบบัญชีเพื่อนำไปแสดงความเห็น
2.ใช้เป็นหลักฐานแสดงถึงมาตรฐานการปฏิบัติงานของเรา
3.ใช้ออกreport
4.ควบคุมการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชี
5.นำมาเป็นแนวทางการปฏิบัติงานในปีถัดไป (กระดาษทำการรูปแบบไม่ตายตัว)

องค์ประกอบ :

1.หัวกระดาษทำการ
2.หลักฐานการตรวจ(เนื้อหากระดาษทำการ)
(ตรวจรายการใด กับหลักฐานอะไร ด้วยวิธีไหน)
3.ลายมือชื่อผู้จัดทำ / ผู้สอบทาน พร้อมลงวันที่กำกับ
4.มีข้อสรุปจาการตรวจสอบ
5.มีหัวกระดาษทำการ
6.มีดัชนีกระดาษทำการ
7.ขอบเขตการตรวจสอบ

กระดาษทำการมี 2 แบบ
1. ผู้สอบบัญชีทำเอง
2. ลูกค้า(Perpared by Client) ต้องเขียนที่หัวกระดาษด้วยปากกาแดงว่า PBC ที่เขียนไว้เพราะจะได้รู้ว่าข้อผิดพลาดเกิดจากใคร
ตัวอย่างกระดาษทำการ

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชี (Audit Evidence)

สวัสดีครับทุกท่านนนนนน
วันนี้เราจะมาพูดถึงการพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชีกัน แต่ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องการพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชีนั้น เราจะมาพูดถึงการรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีกันก่อนเพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดแนวทางและแผนการตรวจสอบต่อไป..

การรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชี (Audit Evidence)
หลักฐานการสอบบัญชีเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้สอบบบัญชีสามารถหาข้อสรุปเพื่อนำไปออกรายงานการสอบบัญชีได้ ว่าบริษัทหรือกิจการที่ผู้สอบบัญชีได้ทำการตรวจสอบนั้น ได้ปฏิบัติตามมาตรหรือหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป จริงๆ



ประเภทของหลักฐานตามเกณฑ์ความเกี่ยวข้องทางบัญชี แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. หลักฐานทางบัญชี (Underlying Accounting Data) เช่น สมุดรายวันทั่วไป สมุดรายวันขาย งบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร เป็นต้น
2. หลักฐานประกอบต่างๆ (Corroborating Information) คือ หลักที่ไม่เกียวกับบัญชีโดยตรง เช่น หลักฐานจากการสอบถามผู้บริหาร และบุคลลากรของกิจการ คำยืนยันจากบุคคลภายนอก


ประเภทของหลักฐานตามเกณฑ์แหล่งที่มา แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. หลักฐานภายในกิจการ หมายถึง หลักฐานที่ได้มาจากกิจการหรือบริษัทที่ผู้สอบจะทำการตรวจสอบ
- หลักฐานทางการบัญชีที่กิจการจัดทำขึ้นเอง เช่น สมุดรายวันขาย สมุดเงินสด บัญชีแยกประเภท
- หลักฐานทางบัญชีที่บุคคลภายนอกทำขึ้นและเก็บไว้ที่บริษัท เช่น หนังสือสัญญาเงินกู้จากธนาคาร ใบแจ้งหนี้ เป็นต้น
- บันทึกผลจากการสังเกตการ ตรวจดู ตรวจนับที่กิจการทำขึ้นเอง เช่น ผลจากการตรวจนับสินค้าคงเหลือโดยกิจการ
2. หลักฐานภายนอกกิจการ หมายถึง หลักฐานที่ผู้สอบบัยชีได้มากจากภายนอกกิจการที่จะทำการตรวจสอบ เช่น หนังสือตอบยืนยันยอดจากบุคคลภายนอก เช่น หนังสือยืนยันยอดลูกหนี้และเจ้าหนี้ หนังสือขอข้อมูลจากธนาคาร ผลการสอบถามจากทนายเกี่ยวกับคดีความฟ้องร้อง


วีธี่ที่จะทำให้ผู้สอบบัญชีได้หลักฐานมามี 5 วิธีปฏิบัติ ดังนี้
1. สอบถาม (Inquiry) การสอบถามข้อมูลจากกิจการเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สอบบัญชีได้มาซึ่งหลักฐาน เช่น การสอบถามเหล่าผู้บริหารทั้งหลาย หัวหน้าฝ่าย ผู้จัดการ เป็นต้น การสอบถามจากผู้บริหารนั้นเป็นการเก็บหลักฐานที่เสี่ยงกับการโกหก หรือ ปกปิดข้อเท็จจริง แต่ในระดับล่างลงมาเช่น แม่บ้าน รปภ. อาจจะทำให้ผู้สอบบัญชี ได้รู้เรื่องราวเชิงลึกซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ เป็นทางการหรือเป็นตัวเลขต่างๆ แต่ก็เป็นข้อมูลที่สามารถทำให้ผู้ชอบบัญชีตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการและเหล่าผู้บริหารได้มากขึ้น เช่นพฤติกรรมของผู้บริหาร การทำงานของพนักงาน
2. การตรวจเอกสาร(Inspection) การตรวจเอกสารเป็นวิธีการที่มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง เพราะมีข้อมูลที่เป็นแผ่นเอกสาร แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะ เอกสารที่ใช้กันในกิจการเอง ส่วนเอกสารที่มีความเสี่ยงต่ำคือเอกสารที่ใช้ติดต่อกับบุคคลภายนอกหรือใช้ติดต่อระหว่างบริษัท

3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ(Analytical Procedure) คือการนำเอาข้อมูลของกิจการจะทำการตรวจสอบ ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลอื่นๆ เช่น นำงบการเงินของปีนี้เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว หรือการนำข้อมูลของบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เหมือนหรือคล้ายกันมาเปรียบเทียบกัน แล้ววิเคราะห์ ว่าข้อมุลที่ได้มานั้นมีความเหมาะสมเป็นไปตามที่คิดหรือไม่
4. การสังเกตการณ์ (Observation) การสังเกตเป็นการหาหลักฐานที่ดีที่สุด เพราะผู้สอบได้เข้ามาเห็นของจริงของกิจการ ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจรับงาน ผู้สอบบัญชีจะได้รู้จักวิธีการทำงานของพนักงาน มาตรการของกิจการในเรื่องต่างๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยของคลังสินค้า พฤติกรรมของงพนังงานเวลาทำงาน
5. การคำนวน (Confirmation) คือ การตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขในเชิงคำนวน เช่น การคำนวนการคิดค่าเสื่อมของกิจการว่าเป้นไปตามหลักการหรือไม่
6. การขอคำยืนยัน (Confirmation) หมายถึงการหาหลักฐานโดยการทำข้อสอบ เช่น การส่งแบบสอบถามยืนยันยอดลูกหนี้ ข้อมูลจากธนาคาร


ลักษณะของหลักฐานการสอบบัญชี
1. ความเพียงพอของหลักฐาน (Sufficiency of Evidential Matter) คือ ปริมาณของหลักฐานที่มีประกอบการตัดสินใจ มีน้อยไปก็ไม่ดีจะทำให้มีข้อมูลไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
2. ความเหมาะสมของหลักฐาน (Competence of Evidential Matter) คือ คุณภาพของหลักฐานการสอบบัญชี และความเกี่ยวข้องกับงาน ความเหมาะสมมีหลักพิจารณาอยู่ 3 ข้อ คือ
- ความเกี่ยวพันกับหลักฐาน คือ ข้อมูลที่ได้จากหลักฐานชิ้นนั้นจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ ในการสอบบัญชีได้ ไม่ใช่ว่าได้ข้อมูลอะไรมาก็เก็บมาคิดหมดทุกอย่าง มันไม่ได้หรอก
- แหล่งที่มาของหลักฐาน คือ สถานที่ๆเก็บหลักฐานได้ บางที่อาจจะเป็นสถานที่ๆไม่น่าเชื่อถือ เช่น การเก็บหลักฐานจากภายในกิจการ มีความเป็นไปได้สูงที่กิจการเหล่านั้นจะสร้างภาพลักษ์ของตนเองให้ดูดี ทำให้เราได้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงมา ต่างจากการเก็บหลักฐานจากภายนอกที่จะได้ความจริงมากกว่า
- เวลาตรวจสอบ คือ เวลาที่ได้รับหลักฐานมา จะต้องสอดคล้องกับเวลาที่ทำงาน ไม่ช้าไป เพราะจะทำให้ข้อมูลที่ได้มาขาดความน่าเชื่อถือ และหมดประโยชน์


การตัดสินใจเกี่ยวกับหลักฐานการสอบบัญชี
1. วิธีการตรวจสอบ (Audit Procedures) คือ วิธีการต่างๆที่จะทำให้ผู้สอบบัญชีเชื่อสิ่งที่ผู้บริหารให้การรับรองนั้นเป็นความจริง เช่น การตรวจนับสินทรัพย์ที่มีตัวตนทำให้ได้หลักฐานการสอบบัญชี ที่น่าเชื่อถือ ผุ้สอบอาจจะได้หลักฐานมาจากการสังเกตการณ์ การตรวจ การสอบถาม การขอคำยืนยัน เป็นต้น
2. ขนาดของตัวอย่าง (Sample Size) คือ เรื่องที่ผู้สอบบัญชีต้องการจะตรวจสอบเท่านั้น ผู้สอบบัญชีไม่สามารถตรวจสอบได้ทุกเรื่อง จึงต้องเกิดการกำหนดเรื่องขึ้นมา และหาหลักฐานที่ตรงตามสาระสำคัญที่ต้องตรวจสอบ
3. รายการที่เลือกมาตรวจสอบ (Sampling Items) เมื่อผู้สอบบัญชีกำหนดขนาดของตัวอย่างได้แล้ว ต่อไปก็จะเป็นการเลือกรายการขึ้นมาตรวจสอบ
4. ช่วงเวลาที่ตรวจสอบ (timing) เป็นเรื่อที่สำคัญอาจจะ ทำให้ผู้สอบบัญชีได้หลักฐานที่ แตกต่างกันไป ในแต่ละ ช่วงเวลา อยู่ที่ผู้สอบบัญชีจะทำการตรวจสอบ

การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี
การพัฒนาแผนการสอบบัญชีและแนวการสอบบัญชีจะทำไปในทิศทางเดียวกับขอบเขตการสอบบัญชี


การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวม(Overall Audit Plan)
- ขอบเขตของงาน : มาจากพิจารณารับงาน
- ข้อมูลบริษัทลูกค้า : การรวบรวมข้อมูลของกิจการ
- ความเข้าใจระบบบัญชี / IC : วิเคราะห์เปรียบเทียบขั้นต้น
- ความเสี่ยง/สาระสำคัญ : กำหนดระดับความมีสาระสำคัญ , ประเมิน AR/IR
- ลักษณะ ระยะเวลา ขอบเขต : การทำความเข้าใจ IC และประเมิน CR
- การประสาน สั่งการ , การสอบถาม/ควบคุม


แนวการสอบบัญชี(Audit Program)
- วัตถุประสงค์การตรวจสอบ
- ขอบเขตการตรวจสอบ
- วิธีการตรวจสอบ
- เวลาที่ใช้ในการตรวจสอบ
- ดัชนีกระดาษทำการ
- ผู้ปฏิบัติงาน/ผู้สอบทาน
*รูปแบบไม่ตายตัว แต่ละ office ไม่เหมือนกัน

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความเสี่ยงในการสอบบัญชีและการควบคุมภายใน 25/06/52

►Risk

1. Inherent Risk ความเสี่ยงสืบเนื่อง เป็นความเสี่ยงที่ติดตัวของยอดคงเหลือ และเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น แก้ว ก็มีความเสี่ยงในการแตก

- ระดับของงบการเงิน ( Inherent Risk at the Financial Statements Level) จะมองในส่วนของผู้บริหาร (ผู้บริหารที่กล้าได้กล้าเสีย) และ อาจจะเข้าไปมีผลกระทบกับรายการบางตัวได้

- ระดับยอดคงเหลือ/รายยการ(Inherent Risk at the Account Balance and Class of Transaction Level)จะเจาะเข้าไปในแต่ละรายการ เช่น

งบดุล เงินสด – สูญหาย , ถูกยักยอก
ลูกหนี้ - หนี้สูญ , บันทึกไม่ครบ
สินค้า - ความล้าสมัย

งบกำไรขาดทุน รายได้ - สูงไป , ต่ำไป
ค่าใช้จ่าย - สูงไป , ต่ำไป

2. Control Risk ความเสี่ยงในการควบคุม จะใช้การประเมินเข้ามาตัดสินว่าอยู่ในระดับใด

Inherent Risk
Internal Control (ลูกค้า , บริษัท)
Control Risk (ผู้ตรวจสอบ)

3. Detection Risk ความเสี่ยงในการตรวจสอบ เช่น เงินสด
- ความเสี่ยงจากการเลือกตัวอย่าง
- วิธีการตรวจสอบที่ใช้ไม่มีประสิทธิภาพ
- ข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานตรวจสอบ
Internal Control ------> COSO
บริษัททำการประเมินภายใน
- สภาพแวดล้อมของการควบคุม (Control Environment)
- การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
- กิจกรรมการควบคุม (Control Activites)
- สารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication)
- การติดตามผล (Monitoring)






>>>>เป็นกำลังใจให้อาจารย์ในทุกๆเรื่องเลยนะค่ะ<<<<

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การวางแผนงานสอบบัญชี 18/06/09

► การวางแผน เริ่มจาก

1.ตั้งวัตถุประสงค์ : วิสัยทัศน์ : ต้องการออกReport

2.แผนกลยุทธ์ : เป็นแผนที่จะนำไปปฏิบัติงาน ตัวกำหนดแบ่งเป็น 3 ตัวกำหนด

- ลักษณะ : แบบการตรวจสอบ(ทำให้ทราบระยะเวลา)

1.) Interim Audit : การตรวจสอบระหว่างปี เป็นการตรวจได้เฉพาะระบบควบคุมภายใน(Test of control)
ระบบควบคุมภายใน : ป้องกันการเกิดทุจริต หรือข้อผิดพลาด (ถ้าระบบควบคุมภายในดี ข้อผิดพลาดก็จะน้อยทำให้เกิดความเสี่ยงต่ำ ส่งผลถึงตอนสิ้นปีเราก็ทำการตรวจสอบน้อยลงกว่าระบบควบคุมภายในไม่ดี)

2.) Year End Audit : การตรวจสอบงบการเงิน(Substantive Test) :
ตรวจหาสาระสำคัญ

- ระยะเวลา :


1.) Interim Audit : ไม่เกิน 31 ธ.ค.


2.) Year End Audit : ไม่เกินวันที่ยื่นงบการเงิน

- ขอบเขต : การสุ่มตัวอย่าง(ขนาดตัวอย่าง : ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของบริษัท) เท่าใดถึงจะเพียงพอที่จะแสดงความเชื่อมั่นได้

3.แผนปฏิบัติงาน

►แผนการสอบบัญชี โดยรวม

1. พิจารณาการรับงาน : เพราะมีความเสี่ยง พิจารณาจาก


1.) ผู้บริหาร เช่น ถ้าผู้บริหารมีความกล้าได้ กล้าเสีย ก็จะมีความเสียสูง


2.) ตัวProductของบริษัท เช่น คอมพิวเตอร์ มีความเสี่ยงคือ ความล้าสมัย,
ทอง หรือเพชร มีความเสี่ยงคือ ความปลอดภัย


3.) บุคคลใดเป็นคนตรวจบัญชีของปีก่อน(ทำไมทางบริษัทถึงไม่จ้างบุคคลเดิมต่อ,
ทำไมถึงมาเลือกเราทำแทน)

วิธีการตรวจสอบเหตุผล : เริ่มจากให้เราส่งจดหมายไปถามบุคคลเก่าที่เคย
ทำงานให้บริษัท ว่ามีเหตุผลทางมารยาทหรือไม่ ถ้ามี ให้เราแจ้งไปทางบริษัท
ให้ทางบริษัทอีกทีให้ส่งจดหมายไปหาบุคคลเก่าที่เคยทำงาน ว่าอนุญาตให้
บอกลายละเอียดของเหตุผลทางมรรยาทกับเรา

ลูกค้าของเรา มี 2 แบบ คือ

1.) แบบเคยเป็นลูกค้าของบุคคลอื่นมาก่อน
2.) แบบไม่เคยเป็นลูกค้าของบุคคลใดเลย

Engagement Letter(จดหมายตอบรับงาน) : ไม่มีรูปแบบตายตัว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระบุ คือ
ลักษณะ, ระยะเวลา, ค่าบริการ

2. รวบรวมข้อมูลของกิจกรรม
Plant Tour : ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ
สิ่งที่นักสอบบัญชีควรทำเมื่อไปเยี่ยมสถานประกอบการ
- พกความสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบการ และควรจดบันทึกขนาดเยี่ยมสถานประกอบการ
- สัมภาษณ์ผู้บริหาร : จะทำProjectอะไรในอนาคต
- สอบถามพักงาน/แม่บ้าน/รปภ. เช่น เข้ามาทำงานสายได้ไหม, ตอกบัตรเข้าทำงานแทนกันได้หรือไม่
- มนุษยสัมพันธ์ : ถ้ามีมากก้อจะได้ข้อมูลมาก
- ดูสมุดบัญชีหรืองบการเงินของบริษัท(2-3ปีที่แล้ว) : นำมาเปรียบเทียบกัน ดูและวิเคราะห์แนวโน้มการเงินของบริษัท, วิเคราะห์อัตราส่วนของสินค้าคงเหลือ(ต้นตุนขาย หารด้วยสินค้าคงเหลือ)

3. วิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้น

4. กำหนดความมีสาระสำคัญ
สาระสำคัญ(materiality) : ถ้าเรารู้เพิ่มจากก่อนหน้าที่เราไม้รู้ แล้วเราจะตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง
พิจารณาจาก – ขนาดของกิจการ
- ดุลยพินิจของคนแต่ละคน : ทุกคนในทีม ต้องทำการตกลงว่าสาระสำคัญคืออะไรให้ตรงกัน แต่ผู้สอบ คือคนที่สรุปท้ายสุด


หมายเหตุ : - จากคำถามที่ อาจารย์ได้ถามในห้องว่า กำหนดการยืนแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี คือเมื่อใด คำตอบคือ ภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
- นางสาวสุพรรณี เพ็งสุทธิ์ รหัส 505562 ได้ดร็อปการเรียนแล้ว และได้เพิ่ม
นางสาวจิตติรัตน์ จันทร์เขียว รหัส 504125 เข้าในกลุ่ม

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Auditing 11/06/09

การสอบบัญชี : การรวบรวมหลักฐานในการสอบบัญชี ประเมินฐานะการเงิน(งบดุล) กระแสเงินสด(งบกระแสเงินสด) ผลการดำเนินงาน(งบกำไรขาดทุน) ว่าถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป(มาตรฐานการบัญชี)หรือไม่ แต่ไม่ถูกต้อง 100% เพราะเกิดจากการสุ่นตัวอย่าง


คุณสมบัติของผู้สอบบัญชีที่ดี

1. Ethics : จริยธรรม ซื้อสัตย์ โปร่งใส ตรงต่อเวลา

2. Standard : มีมาตรฐานในการปฏิบัติงาน(มาตรฐานการสอบบัญชี)

3. Skepticism : ความสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ


ผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย

1. Auditor (ผู้สอบบัญชี) : ต้องให้ความเชื่อมั่นกับผู้ใช้ให้รู้ฐานะการเงิน กระแสเงินสดและผลการดำเนินงาน

2. Management (ผู้บริหาร) : ผู้มีหน้าที่ทำบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป(มาตรฐานการบัญชี)

3. User (ผู้ใช้)


สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้

1. เกิดขึ้นจริง / มีอยู่จริง

2. ครบถ้วน

3. สิทธิ / ภาวะผูกพัน

4. การตีราคา / การวัดมูลค่า

5. การแสดงรายการ / การเปิดเผยข้อมูล


ข้อจำกัดในการสอบบัญชี

1. ไม่สามารถถูกต้อง 100% เพราะเกิดจากการสุ่มตัวอย่าง

2. ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้สอบแต่ละคน

3. ระบบบัญชีย่อมมีข้อบกพร่องเสมอ(ความเสี่ยง)